วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติและความเป็นมา

ประวัติและความเป็นมาของการถักนิตติ้ง
 
               จากใน encyclopidia บอกว่า ต้นกำเนิดยุคแรก ๆ ของนิตติ้งนั้นไม่สามารถระบุเจาะจงในทางภูมิศาสตร์ได้ว่ามีต้นกำเนิดที่ใด แต่เป็นที่เชื่อกันว่า นิตติ้งนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นก่อนสมัยคริสต์กาลและปัจจุบันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก 


               สิ่งเก่าแก่ที่สุดที่ถูกมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยการถักนิตติ้งก็คือถุงเท้า ซึ่งเชื่อกันว่า ถุงเท้า ( Socks ) และถุงเท้ายาว ( Stockings ) เป็นสิ่งที่ได้ถูกทำขึ้นมาโดยการใช้เทคนิคที่คล้าย ๆ กับการถักนิตติ้ง โดยถุงเท้าเหล่านี้ได้ถูกทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า Nalebinding ซึ่งเป็นเทคนิคในการใช้เข็มเพียง 1 อันทำเส้นใยผ้า ( ไหม ) ให้เป็นห่วงปมหลาย ๆ ปม หรือหลาย ๆ ห่วง  และหลาย ๆ ชิ้นงานของเครื่องนุ่งห่มที่มีอยู่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยการใช้เทคนิค Nalebinding ซึ่งส่วนหนึ่งก็มองดูแล้วคล้าย ๆ กับการถักนิตติ้ง แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเทคนิคแบบใดซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างการถักนิตติ้งนิตติ้งกับโครเชร์ 
           
               ประวัติที่สำคัญของชาวสก๊อตแลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 17 - 18 ชาวเกาะสก๊อต ได้มีการถักนิตติ้งเพื่อทำเป็นอาชีพในครัวเรือนไม่ว่าจะเป็นการถักเป็นเสื้อกันหนาว ( สเวตเตอร์ ) สิ่งของต่าง ๆ ถุงเท้า ถุงเท้ายาว เป็นต้น  ชาวเกาะมีการคิดค้นเทคนิคต่าง ๆ ในการถัก ทำเป็นรูปแบบแพทเทิร์นหลากสีสัน เสื้อกันหนาวเป็นเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นและมีความสำคัญมากสำหรับชาวเกาะ จะถูกถักขึ้นจากขนสัตว์เพื่อใช้กันหนาวในยามที่ต้องออกเรือประมงซึ่งต้องผจญกับอากาศที่เลวร้ายมาก  งานหลาย ๆ ชิ้นถูกออกแบบและทำขึ้นอย่างปราณีต 


               1939 - 1945 เป็นยุคเฟื่องฟูของการถักนิตติ้ง ขนแกะขาดแคลนเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ก็ได้สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้หญิงมีการหันมาเลาะตะเข็บจากเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเก่า ๆ ที่ไม่ใช้งานแล้วตลอดจนขนสัตว์ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง มีการสร้างแพทเทิร์นการถักนิตติ้งขึ้นมากเพื่อให้ประชาชนได้ถักเครื่องนุ่งห่มให้กับกองทัพทหารไว้สวมใส่ในช่วงฤดูหนาว เช่น หมวกไหมพรม และถุงมือ เป็นต้น นี่ก็ไม่เพียงแค่เป็นการผลิตสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังเป็นการประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้กับประชาชนในเรื่องสงครามได้ที่เรียกว่า home front 


               1950 และ 60 เป็นยุคแห่งเครื่องนุ่งห่ม ภายหลังการเกิดสงคราม การถักนิตติ้งได้แพร่หลายเป็นอย่างมาก ในเรื่องเริ่มมีการผลิตไหมหลากหลายสีสันและรูปแบบหลาย ๆ พันแพทเทิร์นที่มีสีสันสดใสกลายเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ในยุคนี้ชุดที่ประกอบไปด้วยเสื้อแขนสั้นสีเดียวกันกับเสื้อขนสัตว์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เป็นยุคที่การถักนิตติ้งไม่ใช่เป็นเพียงงานอดิเรกแล้ว โดยบรรดาเด็กผู้หญิงมักคุยกันถึงเรื่องของการเข้าเรียนการถักนิตติ้งในโรงเรียน เกิดนิตสารอย่าง " Pins and needles " ขึ้น ซึ่งเป็นนิตรสารที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของการถักนิตติ้งเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นแพทเทิร์นที่ยาก ๆ และไม่เพียงแต่แพทเทิร์นเสื้อผ้าเท่านั้น ยังมีแพทเทิร์นพวกของเล่น กระเป๋า ซึ่งสามารถสร้างรายได้ได้ 


               1980 เป็นยุคเสื่อมถอย ความนิยมของการถักนิตติ้งเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัดในยุค 1980 ในฝั่งโลกตะวันตกไหมและแพทเทิร์นต่าง ๆ ราคาตกต่ำลง เช่นเดียวกับที่งานฝีมือต่าง ๆ ก็มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากแฟชั่นเก่า ๆ ผลจากการเพิ่มขึ้นนี้และรวมถึงราคาที่ลดลงของการถักนิตติ้งด้วยเครื่องจักรนั้นบ่งบอกถึงว่าผู้บริโภคสามารถที่จะมีเสื้อสเวตเตอร์ได้เทียบเท่าการเสื้อขนสัตว์และตามรูปแบบของพวกเขาเองหรือบ่อยขึ้น 


               ยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคแห่งการฟื้นฟู หลังจากที่นิตติ้งได้เสื่อมถอยลง พอมาถึงในศตวรรษที่ 21 กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เส้นใยจากธรรมชาติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยจากสัตว์ เช่น พวกอัลพาคาร์ แองกอร่า และมาริโน เป็นต้น หรือจะเป็นเส้นใยจากพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเส้นใยจากฝ้าย เนื่องจากหาได้ง่าย ราคาไม่แพง หาได้ทั่วไป ผู้บริโภคจะมีการมองหาเส้นใยจากต่างประเทศ เช่น เส้นใยจำพวกไหม ไม้ไผ่ หรือขนวัว ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โรงงานเริ่มมีการผลิตเส้นไหมที่แปลกใหม่มากขึ้น บรรดานักออกแบบเริ่มมีการสร้างงานแพทเทิร์นที่ค่อย ๆ เป็นการตัดเย็บที่ชิ้นงานใหญ่ขึ้นและทำได้อย่างเร็ว บรรดาผู้มีชื่อเสียง อย่างเช่น Julia Roberts , Winona Ryder Dakota Fanning และ Cameron Diaz เริ่มสนใจการถักนิตติ้งและช่วยทำให้งานฝีมือได้รับความนิยมอีกครั้ง สำหรับในศักราชใหม่นี้ยังมีการถักนิตติ้งที่สร้างสรรค์โดยบรรดาผู้ชายอีกด้วย 
            
               ศิลปะแห่งการถักนิตติ้งได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อินเทอร์เน็ตทำให้มีการติดต่อระหว่างกันของคนถักนิตติ้งและได้แลกเปลี่ยนความสนใจ ความรู้ ระหว่างกันและกันไปทั่วโลก โดยในช่วงแรก ๆ สมาชิกในกลุ่มการถักนิตติ้งที่ติดต่อกันทางอินเทอร์เน็ตมีประมาณ 1 พันคน  และในปี 1998 ได้มีนิตยสารออนไลน์เกิดขึ้นชื่อว่า KnitNet และหลังจากนั้นก็จุดประกายให้เกิดกลุ่มผู้ถักนิตติ้งนานาชาติขึ้น 


               แพทเทิร์นต่าง ๆ ทั้งจากงานพิมพ์และออนไลน์ได้ก่อให้เกิดเป็นศูนย์กลางแหล่งแพทเทิร์นนิตติ้งขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งที่รู้จักกันก็มี Knit-a-long หรือ KAL

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น